1) ความปลอดภัยและทักษะในปฎิบัติการเคมี
การทำปฏิบัติการเคมีส่วนใหญ่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับสารเคมี อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งผู้ทำปฏิบัติการต้องตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม โดยผู้ทำปฏิบัติการควรทราบเกี่ยวกับประเภทของสารเคมีที่ใช้ ข้อควรปฏิบัติในการทำปฏิบัติการเคมี และการกำจัดสารเคมีที่ใช้แล้วหลังเสร็จสิ้นปฏิบัติการ เพื่อให้สามารถทำปฏิบัติการเคมีได้อย่างปลอดภัยประเภทของสารเคมี
สารเคมีมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน สารเคมีจึงจำเป็นต้องมีฉลากที่่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอันตรายของสารเคมีเพื่อความปลอดภัยในการจัดเก็บ การนำไปใช้ และการกำจัด โดยฉลากของสารเคมีที่ใช้ในห้องปฏิบัติการควรมีข้อมูลดังนี้
- ชื่อผลิตภัณฑ์
- รูปสัญลักษณ์ แสดงความเป็นอันตรายของสารเคมี
- คำเตือน ข้อมูลความเป็นอันตราย และข้อควรระวัง
- ข้อมูลของบริษัทผู้ผลิตสารเคมี
บนฉลากบรรจุภัณฑ์มีสัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายที่สื่อความหมายได้ชัดเจนเพื่อให้ผู้ใช้สังเกตุได้ง่าย สัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายมีหลายระบบ ในที่นี้จะกล่าวถึง 2 ระบบ ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals (GHS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สากล และ National Fire Protection Association Hazard Identification System (NFPA) เป็นระบบที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสัญลักษณ์ทั้งสองระบบนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปบนบรรจุภัณฑ์สารเคมี
สำหรับสัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายในระบบ NFPA จะใช้สีแทนความเป็นอันตรายในด้านต่าง ๆ ได้แก่ สีแดงแทนความไวไฟ สีน้ำเงินแทนความเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สีเหลืองแทนความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใส่ตัวเลข 0 ถึง 9 เพื่อระบุระดับความเป็นอันตรายจากน้อยไปหามากและช่องสีขาวใช้ใส่อักษรหรือสัญลักษณ์ที่แสดงสมบัติที่เป็นอันตรายด้านอื่น ๆ
ก่อนทำปฏิบัติการ
1 ศึกษาขั้นตอนหรือวิธีการทำปฏิบัติการให้เข้าใจ วางแผนการทดลอง หากมีข้อสงสัยต้องสอบถามครูผู้สอนก่อนที่จะทำการทดลอง
2 ศึกษาข้อมูบของสารเคมีที่ใช้ในการทดลอง เทคนิคการใช้เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนวิธีการทดลองที่ถูกต้องและปลอดภัย
3 แต่งกายให้เหมาะสม เช่น สวมกางเกงหรือกระโปรงยาว สวมรองเท้ามิดชิดส้นเตี้ย คนที่มีผมยาวควรรวบผมให้เรียบร้อย หลีกเลี่ยงการสวมใส่เครื่องประดับและคอนแทคเสนส์
ขณะทำปฏิบัติการ
ข้อปฏิบัติโดยทั่วไป
- สวมแว่นตานิรภ้ย สวมเสื้อคลุมปฏิบัติการที่ติดกระดุมทุกเม็ด ควรสวมถุงมือเมื่อต้องการใช้สารกัดกร่อนหรือสารที่มีอันตราย ควรสวมผ้าปิดปากเมื่อต้องใช้สารเคมีที่มีไอระเหย และทำปฏิบัติการในที่ซึ่งมีอากาศถ่ายเทหรือในตู้ดูดควัน
-ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการทำปฏิบัติการ
- ไม่ทำการทดลองในห้องปฏิบัติการตามลำพังเพียงคนเดียว เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะไม่มีใครทราบและไม่อาจช่วยได้ทันท่วงที หากเกิดอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ ต้องแจ้งให้ครูผู้สอนทราบทันทีทุกครั้ง
- ไม่เล่นและไม่รบกวนผู้อื่นในขณะที่ทำปฏิบัติการ
- ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการอย่างเคร่งครัด ไม่ทำการทดลองใด ๆ ที่นอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมาย และไม่เคลื่อนย้ายสารเคมี เครื่องมือ และอุปกรณ์ส่วนกลางที่ต้องใช้ร่วมกันนอกจากได้รับอนุญาตจากครูผู้สอนเท่านั้น
- ไม่ปล่อยให้อุปกรณ์ให้ความร้อน เช่น ตะเกียงแอลกอฮอล์ เตาแผ่นให้ความร้อน (hot plate) ทำงานโดยไม่มีคนดูแล และหลังจากใช้งานเสร็จแล้วให้ดับตะเกียงแอลกอฮอล์หรือปิดเครื่องและถอดปลั๊กไฟออกทันที แล้วปล่อยไว้ให้เย็นก่อนการจัดเก็บ เมื่อใช้เตาแผ่นให้ความร้อนต้องระวังไม่ให้สายไฟพาดบนอุปกรณ์
ข้อปฏิบัติการในการใช้สารเคมี
- อ่านชื่อสารเคมีบนฉลากให้แน่ใจก่อนนำสารเคมีไปใช้
- การเคลื่อนย้าย การแบ่ง และการถ่ายเทสารเคมีต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารอันตราย และควรใช้อุปกรณ์ เช่น ช้อนตักสารและบีกเกอร์ที่แห้งและสะอาด การเทของเหลวจากขวดบรรจุสารให้เทด้านตรงข้ามฉลาก เพื่อป้องกันความเสียหายของฉลากเนื่องจากการสัมผัสสารเคมี
- การทำปฏิกิริยาของสารในหลอดทดลอง ต้องหันปากหลอดทดลองออกจากตัวเองและผู้อื่นเสมอ
- ห้ามชิมหรือสูดดมสารเคมีโดยตรง ถ้าจำเป็นต้องทดสอบกลิ่นให้ใช้มือโบกให้ไอของสารเข้าจมูกเพียงเล็กน้อย
- การเจือจางกรด ห้ามเทน้อลงกรดแต่ให้เทกรดลงน้ำ เพื่อให้น้ำปริมาณมากช่วยถ่ายเทความร้อนที่เกิดจากการละลาย
- ไม่เทสารเคมีที่เหลือจากการเทหรือตักออกจากขวดสารเคมีแล้วกลับเข้าขวดอย่างเด็ดขาด ให้เทใส่ภาชนะทิ้งสารที่จัดเตรียมไว้
- เมื่อสารเคมีหกในปริมาณเล็กน้อยให้กวาดหรือเช็ด แล้วทิ้งลงในภาชนะสำหรับทิ้งสารที่เตรียมไว้ในห้องปฏิบัติการ หากหกในปริมาณมากให้แจ้งครูผู้สอน
หลังทำปฏิบัติการ
-ทำความสะอาดอุปกรณ์ เครื่องแก้ว และวางหรือเก็บในบริเวณที่จัดเตรียมไว้ให้รวมทั้ง ทำความสะอาดโต๊ะปฏิบัติการ
- ก่อนออกจากห้องปฏิบัติการให้ถอดอุปกรณ์ป้องกันอันตราย เช่น เสื้อคลุมปฏิบัติการ แวนตานิรภัย ถุงมือ
การกำจัดสารเคมี
สารเคมีที่ใช้แล้วหรือเหลือใช้จากการทำปฏิบัติการเคมี จำเป็นต้องมีการกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต
การกำจัดสารเคมีแต่ละประเภท สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
- สารเคมีที่เป็นของเหลวไม่อันตรายที่ละลายน้ำได้และมี pH เป็นกลาง ปริมาณไม่เกิน 1 ลิตร สามารถเทลงอ่างน้ำและเปิดน้ำตามมาก ๆ ได้
- สารละลายเข้มข้นบางชนิด เช่น กรอไฮโดรคลอริก โซเดียมไฮดรอกไซด์ ไม่ควรทิ้งลงอ่างน้ำหรือท่อน้ำทันที ควรเจือจางก่อนเทลงอ่างน้ำ ถ้ามีปริมาณมากต้องทำให้เป็นกลางก่อน
- สารเคมีที่เป็นของแข็งไม่อันตราย ปริมาณไม่เกิน 1กิโลกรัม สามารถใส่ในภาชนะที่ปิดมิดชิด พร้อมทั้งติดฉลากชื่อให้ชัดเจน ก่อนทิ้งในที่ซึ่งจัดเตรียมไว้
- สารไวไฟ ตัวทำละลายที่ไม่ละลายน้ำ สารประกอบของโลหะเป็นพิษ หรือสารที่ทำปฏิกิริยากับน้ำ ห้ามทิ้งลงอ่างน้ำ ให้ทิ้งไว้ในภาชนะที่ทางห้องปฏิบัติการจัดเตรียมไว้ให้
2) อุบัติเหตุจากสารเคมี
การพยาบาลเมื่อร่างกายสัมผัสสารเคมี1 ถอดเสื้อผ้าบริเวณที่เปื้อนสารเคมีออก และซับสารเคมีออกจากร่างกายให้มากที่สุด
2 กรณีเป็นสารเคมีที่ละลายน้ำได้ เช่น กรดหรือเบส ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยการเปิดน้ำไหลผ่านปริมาณมาก
3 กรณีเป็นสารเคมีที่ไม่ละลายน้ำ ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยสบู่
4 หากทราบว่าสารเคมีที่สัมผัสร่างกายคือสารใด ให้ปฎิบัติตามข้อกำหนดในเอกสารความปลอดภัยของสารเคมี
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
ตะแคงศรีษะโดยให้ตาด้านที่สัมผัสสารเคมีอยู่ด้านล่าง ล้างตาโดยการเปิดน้ำเบาๆ ไหลผ่านดั้งจมูกให้น้ำไหลผ่านตาข้างที่โดนสารเคมี พยายามลืมตาและกรอกตาในน้ำอย่างน้อย 10 นาที หรือจนกว่าแน่ใจว่าชะล้างสารออกหมดเเล้ว ระวังไม่ให้น้ำเข้าตาอีกข้างหนึ่ง แล้วนำส่งแพทย์ทันที
การปฐมพยาบาลเมื่อสูดดมแก๊สพิษ
1 เมื่อมีแก๊สพิษเกิดขึ้นต้องรีบออกจากบริเวณนั้นและไปบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกทันที
2 หากมีผู้ที่สูดดมแก๊สพิษจนหมดสติหรือไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องรีบเคลื่อนยัย
อกจากบริเวณนั้นทันที โดยที่ผู้ช่วยเหลือต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เช่น หน้กากป้องกัน
แก๊สพิษ ผ้าปิดปาก
3 ปลดเสื้อผ้าเพื่อให้ผู้ประสบอุบัติเหตุหายใจได้สะดวกขึ้น หากหมดสติให้จับนอนคว่ำและ
ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันโดนลิ้นกีดขวางทางเดินหายใจ
4 สังเกตการเต้นของหัวใจและการหายใจ หากว่ห้วใจหยุดเต้นและหยุดหายใจให้นวดหัวใจ
และผายปอดโดยผู้ที่ผ่านการฝึกแต่ไม่ควรใช้วิธีเปาปาก (mouth to mouth) แล้วนำส่งแพทย์ทันที
การปฐมพยาบาลเมื่อโดนความร้อน
แช่น้ำเย็นหรือปิดแผลด้วยผ้ชุบน้ำจนหายปวดแสบปวดร้อน แล้วทายขี้ผึ้งสำหรับไฟใหม
ละน้ำร้อนลวกหากเกิดบาดแผลใหญ่ให้นำส่งแพทย์
3) การวัดปริมาณสาร
ในปฏิบัติการเคมีจำเป็นต้องมีการชั่งตวงและวัดปริมาณสารซึ่งการชั่งตวงวัดมีความคลาดเคลื่อน
ที่อาจเกิดจก๊อปกรณ์ที่ใช้ หรือผู้ทำปฏิบัติการ ที่จะส่งผลห้ผลการทดลองที่ได้มีค่มากกว่าหรือน้อยกว่า
ค่าจริง
ความนำเชื่อถือของข้อมูลสามารถพิจาณได้จาก2ส่วนด้วยกันคือความเที่ยง (precision )
และ ความแมน (accuracy) ของข้อมูลโดยความเที่ยงคือควมใกล้เคียงกันของค่ที่ได้จากการวัดซ้ำ
ส่วนความแม่นคือความใกล้เคียงของค่าเฉลี่ยจากการวัดซ้ำเทียบกับค่าจริง
ความเที่ยงและความแม่นของข้อมูลที่ได้จากการวัดขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ที่ทำการวัดและ
ความละเอียดของอุปกรณ์ที่ใช้ อุปกรณ์การวัดที่ใช้โดยทั่วไปในปฏิบัติการเคมี ได้แก่ อุปกรณ์วัด
ปริมาตรและอุปกรณ์วัดมวลซึ่งมีระดับความละเอียดของอุปกรณ์และวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน
การแบ่งกลุ่มอุปกรณ์วัดปริมาตรได้แกบีกเกอร์ขวดรูปกรวย กระบอกตวง ปีเปตต์ บิวเรตต์
และขวดกำหนดปริมาตรโดยใช้ความแม่นเป็นเกณฑ์จะสามารถแบ่งกลุ่มได้อย่างไร
อุปกรณ์วัดปริมาตร
อุปกรณ์วัดปริมาตรสารเคมีที่เป็นของเหลวที่ใช้ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์มีหลายชนิด
แต่ละชนิดมีขีดและตัวเลขแสดงปริมาตรที่ได้รับการตรวจสอบมาตรฐนและกำหนดความคลาดเคลื่อน
ที่ยอมรับได้บางชนิดมีความคลาดเคลื่อนน้อยบางชนิดมีความคลาดเคลื่อนมากในการเลือกใช้ต้อง
คำนึงถึงความเหมาะสมกับปริมาตรและระดับความแม่นที่ต้องการ อุปกรณ์วัดปริมาตรบางชนิดที่นักเรียน
ได้ใช้งานในการทำปฏิบัติการทางวิทยkศาสตร์ที่ผ่านมาเช่นบีกเกอร์ขวตรูปกรวยกระบอกตวงเป็น
อุปกรณ์ที่ไม่สามารถอกปริมาตรได้แม่นมากพอสำหรับการทดลองในบางปฏิบัติการ
-บึกเกอร์(beaker มีลักษณะเป็นทรกระบอกปากกว้างมีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตรมี
หลายขนาด
- ขวดรูปกรวย (erlenmeyer flask มีลักษณะคล้ายผลชมพู่มีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตร
ขวดรูปกรวยมีหลายขนาด
-กระบอกตวง (measuring cylinder) มีลักษณะเป็นทรงกระบอก มีขีดบอกปริมาตรในระดับ
มิลลิลิตรมีหลายขนาด ดังรูป 1.9
-ปิเปตต์ (pipette) เป็นอุปกรณ์วัดปริมาตรที่มีความแม่นสูง ซึ่งใช้สำหรับถ่ายเทของเหลว
ปิเปตต์ที่ใช้กันทั่วไปมี2แบบคือแบบปริมาตรซึ่งมีกระเปาะตรงกลางมีขีดบอกปริมาตรเพียงค่าเดียว
และแบบใช้ตวง มีขีดบอกปริมาตรหลายค่า
-บิวเรตต์ (burette) เป็นอุปกรณ์สำหรับถ่ายเทของเหลวในปริมาตรต่าง ๆ ตามต้องการ มีลักษณะ
เป็นทรงกระบอกยาวที่มีขีดบอกปริมตรและมีอุปกรณ์ควบคุมการไหลของของเหลวที่เรียกว่า ก๊อก
ปิดเปิด (stop cook)
-ขวดกำหนดปริมาตร (volumetric flask) เป็นอุปกรณ์สำหรับวัดปริมาตรของเหลวที่บรรจุภายใน ใช้สำหรับสารละลายที่ต้องการความเข้มข้นเเน่นอน มีขีดบอกปริมาตรเพียงขีดเดียว มีจุกปิดสนิท
อุปกรณ์วัดปริมาตร
เครื่องชั่งเป็นอุปกรณ์สำหรับวัดมวลของสารทั้งที่เป็นของข็งและของเหลว ความนเชื่อถืของค่ามวลที่วัดได้ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องชั่งและวิธีการใช้ครื่องชัง เครื่องชั่งที่ใช่ในห้อง
ปฏิบัติการเคมีโดยทั่ไปมีแบบคือเครื่องชั่งแบบสามคาน (trple beam) และเครื่องชั่งไฟฟ้า
(electronic balance)
เลขนัยสำคัญ
ค่ำที่ได้จากการวัดด้วยอุปกรณ์การวัดต่าง ๆ ประกอบด้วยตัวเลขและหน่วย โดยคตัวเลขที่วัดได้จากอุปกรณ์แต่ละชนิดอาจมีความละเอียดไม่ท่กัน ซึ่งการบันทึกและรายงานค่าการอ่านต้อง
แสดงจำนวนหลักของตัวเลขที่สอดคล้องกับความละเอียดของอุปกรณ์
การนับเลขนัยสำคัญ
การนับเลขนัยสำคัญของข้อมูลมีหลักการดังนี้
1 ตัวเลขที่ไม่มีเลขศูนย์ทั้งหมดนับเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น
1.23 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว
2 เลขศูนย์ที่อยู่ระหว่างตัวเลขอื่นนับเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น
6.02 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว
72.05 มีเลขนัยสำคัญ 4 ตัว
3 เลขศูนย์ที่อยู่หน้าตัวเลขอื่นไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น
0.25 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว
0.025 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว
4 เลขศูนย์ที่อยู่หลังตัวเลขอื่นที่อยู่หลังทศนิยมนับเป็นเลขนัยสำคัญเช่น
0.250 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว
0.0250 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว
5 เลขศูนย์ที่อยู่หลังเลขอื่นที่ไม่มีทศนิยมอาจนับหรือไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญก็ได้' เช่น
100 อาจมีเลขนัยสำคัญเป็น 1 2 หรือ 3ตัวก็ได้
เนื่องจากเลขศูนย์ในบางกรณีอาจมีคำเป็นศูนย์จริงๆจากกรวัดหรือเป็นตัวเลยที่ใช้แสดงให้
เห็นว่าค่าดังกล่าวอยู่ในหลักร้อย
6 ตัวเลขที่แม่นตรง (exact number เป็นตัวเลขที่ทราบค่แน่นอนมีเลขนัยสำคัญเป็นอนันต์ เช่น
ค่าคงที่เช่น ก=3.142... มีเลขนัยสำคัญเป็นอนันต์
ค่าจากการนับเช่นปิเปตต3ครั้งลข3ถือว่ามีเลขนัยสำคัญเป็นอนันต์
ค่าจากการเทียบหน่วยเช่น1วันมี24ชั่วโมงทั้งเลข1และ24 ถือว่ามีเลขนัยสำคัญ
เป็นอนันต์
4) หน่วยวัด
หน่วยในระบบเอสไอ ในปีพ.ศ.2503 ที่ประชุมนานาชาติว่าด้วยการชั่งและการวัด (The General conference on Weights
and Measures ได้ตกลงให้มีหน่วยวัดสากลขึ้น เรียกว่า ระบบหน่วยวัดระหว่างประเทศหรือเรียกย่อๆ
ว่าหน่วยเอสไอ (SI units) ซึ่งเป็นหน่วยที่ดัดแปลงจากหน่วยในระบบมทริกซ์โดยหน่วยเอสไอแบ่งเป็นหน่วยพื้นฐาน(SI base units) มี7หน่วย ซึ่งเป็นหน่วยที่ไม่ขึ้นต่อกันและสามารถนำไปใช้ในการกำหนดหน่วยอื่นๆได้และหน่วยเอสไออนุพัทธ์ (Derived Sl units) ซึ่งเป็นหน่วยอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กันทางคณิตศาสตร์ของหน่วยเอสไอพื้นฐาน
แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย (conversion factors) เป็นอัตราส่วนระหว่างหน่วยที่แตกต่างกัน 2 หน่วย ที่มีปริมาณเท่ากัน
วิธีการเทียบหน่วย (facter label method) ทำได้โดยการคูณปริมาณในหน่วยเริ่มต้นด้วยแฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วยที่มีหน่วยที่ต้องการอยู่ด้านบน
5) วิธีการทางวิทยาศาสตร์
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) เป็นกระบวนการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีแบบแผนขั้นตอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น